หลอดไฟนั้นแบ่งโทนสีเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ warm white, natural white, cool white และ day light ซึ่งการแบ่งโทนสีเหล่านี้จะอ้างอิงจากค่าที่เรียกว่า อุณหภูมิสี (color temperature) โดยที่อุณหภูมิสีต่ำจะให้แสงออกโทนขาวเหลือง หรือ warm white ไปจนถึงอุณหภูมิสีสูงจะให้แสงออกโทนขาวฟ้า หรือ day light
สำหรับการเลือกใช้งานหลอดไฟโทนสีต่างๆ แม้จะไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัวในการเลือกใช้ และขึ้นกับความชอบของผู้ใช้งานเป็นหลัก แต่ก็มีแนวทางแนะนำวิธีเลือกสีหลอดไฟให้เหมาะสมกับการใช้งานคร่าว ๆ ดังนี้
Warm white เป็นโทนแสงสีเหลือง ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย นิยมติดในห้องนอนหรือห้องนั่งเล่น เหมาะกับวัสดุตกแต่งสีเข้ม เช่น ไม้หรืออิฐ
Natural white เป็นโทนสีธรรมชาติ คล้ายแสงแดด สามารถใช้งานได้ทั่วไป เข้ากับสภาพแวดล้อมได้ง่าย
Cool white เป็นสีขาวอมฟ้า ให้ความรู้สึกสะอาดตา นิยมใช้ในห้องน้ำหรือห้องครัว เมื่อสะท้อนกับสแตนเลสจะแวววาวให้ความรู้สึกโมเดิร์น
Daylight เป็นแสงขาวที่สว่างที่สุด เหมาะกับการอ่านหนังสือหรือทำงานฝีมือ เนื่องจากเป็นแสงที่สบายตา
ในการเลือกซื้อเลือกใช้หลอดไฟทั้งในบ้านพักอาศัย หรือสำนักงาน นอกจากคำนึงถึงโทนสีที่เหมาะสมต่อการใช้งานแล้ว เราควรคำนึงถึงการเลือกใช้หลอดไฟที่ประหยัดพลังงานเพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายควบคู่ไปด้วย โดยเฉพาะ หลอดไฟ LED ที่ประหยัดไฟมากกว่าหลอดไฟแบบเดิมๆ
บ้าน หรือสำนักงานของเราก็จะพูดได้เต็มปากเมื่อไปบอกใครๆ ว่าบ้านสีเขียว (Green Home) หรือสำนักงานสีเขียว (Green Office) เพราะสามารถประหยัดค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้น
ปัจจุบัน แอลอีดีถูกพัฒนาอย่างมากจนสามารถใช้งานทดแทนไฟแสงสว่างแทบทุกรูปแบบที่เคยใช้กันมา หากใครที่ยังคิดว่าแอลอีดีเป็นเรื่องไกลตัวที่ไม่ค่อยพบเห็นก็ไม่ถูกแล้วล่ะ ก็ในเมื่อทุกวันนี้ไม่ว่าจะเป็นป้ายโฆษณา, ไฟจราจร, ไฟส่องสว่างบนถนน, ป้ายไฟ, ไฟตกแต่งอาคาร, ไฟรถยนต์, ไฟจักรยาน, หรือแม้กระทั่งไฟส่องสว่างหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือสมาร์ทโฟนล้วนแต่ใช้หลอด LED ถ้าพูดว่าเรื่องที่อยู่ใกล้ตัวถึงจะถูกต้อง
ข้อมูลอ้างอิง
https://www.facebook.com/ministryofenergy/
http://www.wemall.com/blog/1178/led-101